วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เตรียมยา

เริ่มจากเตรียมยาสามัญประจำตัวก่อน เนื่องด้วยค่าหมอที่นู่นแพง แม้จะเสียตังค่าประกันแล้วก็ตาม แต่พกยาไปเองจะสะดวกกว่าเยอะเลย และด้วยความที่มีพี่เป็นหมอ เลยได้กองยาชุดใหญ่มาเลยจ้า มหึมามากๆ ทั้งยาแก้ปวด แก้อักเสบหลายโดสตั้งแต่เบบี๋ยันแอดวานซ์ ยาแก้แพ้แบบง่วง แบบไม่ง่วง ยาต้านใจสั่น แก้ท้องผูก นอนไม่หลับ ฉี่ขัด กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ขี้รั่วถ่ายเหลว คลื่นไส้อาเจียน มีน้ำมูก มีหมดที่จะคิดถึง ต้องมานั่งเขียนว่าตัวไหนกินยังไง กินได้กี่วันให้เรียบร้อย เพราะเดี่ยวเกิดต้องใช้จริงคงไม่มีเวลามาโทรถามว่าใช้ยังไง

และจากประสบการณ์ที่ไปเวิร์คคราวก่อนก็ได้ใช้จริงเพราะอากาศเปลี่ยนเร็ว จากเด็กเมืองร้อน ลงจากเครื่องบินอยู่ในสนามบินไม่เท่าไหร่ ยังเย็นๆเหมือนอยู่บ้านเปิดแอร์ ชิวๆ (ไม่ได้สำนึกเล้ยว่าบินมาครึ่งโลกแล้ว อะไรๆจะเปลี่ยนบ้าง) พอประตูสนามบินเปิดเท่านั้นแหล่ะ อากาศเฮือกแรกที่แล่นผ่านปะทะหน้า

เฮือกกกกกกก!!!!!!! หนาววววววววววมากกกกกกกกกกกก เย็นสุดขั้วหัวใจ(อีเว่อร์) หันหลังกลับตูดแน่บไปข้างในสนามบิน รื้อๆกระเป๋าหาเสื้อหนาวใส่ (สภาพตอนนั้นคือเสื้อยืดมีแจ๊คเก็ตบางๆทับใส่กับยีนส์ทรงกระบอก หน้าโทรม มัน เมือกเพราะผ่านการบินมา24ชม. ผมสั้นหน้าม้า ใส่แว่นกลมๆส่งเสริมให้หน้ากลมๆกลมเข้าไปอีก เหมือนบ้านนอกไม่มีผิด) ได้overcoatมาตัวนึง จัดแจงสวมให้เรียบร้อย ยืนตั้งหลัก แล้วรีบวิ่งดุ๊กๆออกไปขึ้นรถ เป็นการสัมผัสอากาศหนาวครั้งแรกของชีวิต หนาวสะใจจริง(ช่วงนั้นหิมะเพิ่งหมด)

ตัดไปที่ย้ายตัวเองเข้าบ้านพนักงานได้เรียบร้อยแล้ว รู้จักกับเมทชาวบราซิลซึ่ง หล่อมากกกกกก ประมาณเจมส์บอนด์007มาเองทีเดียว กำลังเพ้ออยู่กับคนหล่อซักพักพอเข้าบ้านปุ๊บ แฟนเฮียแกกำลังนั่งดูทีวีอยู่ ที่เท้าความมาขนาดนี้มิใช่อะไร สองคนนี้เค้ามาเจอและพบรักกันจากโครงการเวิร์ค ก็เลยยังpuppy loveอยู่ รักกันมากกกกก มากจนลืมว่ามีตรูอยู่ด้วย ประมาณว่าเฟดตรูออกจากสารระบบพี่แกไปเลย วันแรกๆที่มาถึงเรายังไม่รู้ระบบ ผ้าห่มก็ไม่มี ก็ต้องทนหนาวกันไป ห่มตัวเองด้วยเสื้อโค๊ต ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนก็ไม่มี ก็ต้องนอนเอาหน้านาบกะฝุ่นหนาเตอะบนหมอน ฮีทเตอร์ก็ไม่รู้อยู่ไหน สามวันผ่านไปเราก็เป็นหวัดและไข้ขึ้น เมทผู้หล่อเหลาใบหน้าอิ่มเอิบมีความสุขจากการอยู่กับแฟนมา3วันเต็มๆถึงจะนึกออกว่ามีตรูอยู่ด้วย เพิ่งจะเอาผ้าห่มมาให้เราและแนะนำระบบและเรื่องต่างๆภายในบ้าน

ฉะนั้น ยาสำคัญมากกกก ย้ำๆสำคัญจริงๆนะ ได้ใช้ตั้งแต่มาไม่ถึงอาทิตย์เลย

ปล.ท้ายสุดสองคนนี้ก็หมั้นกันหลังจบโครงการเวิร์ค ดูมีความสุขมาก มาเจอกันในเฟสหกปีให้หลัง เค้าแต่งงานมีลูกกันแล้วจ้า ย้ายกลับไปอยู่บราซิลเรียบร้อย
ปล2. อิจมาก บ่องตง ตรูไปแต่หาไม่ได้ซักคน มีแต่คนมาทิ้งเบอร์ให้ ก็กระแด่ะโง่อีก ขยำทิ้งด้วยความงง ครั้งต่อไปพี่จะไม่พลาดแล้ว หึๆ

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ก้าวแรกของการไปอยู่เมืองนอก

อันดับแรกก็ต้องหา รร.สอนภาษาก่อน เลือกไปเลือกมา อยู่NYCแล้วกัน เป็นจุดศูนย์กลาง จะไปที่อื่นก็ง่าย ระบบขนส่งดี
ต่อมาก็ต้องอีเมล์ติดต่อกับทาง รร. ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ทาง รร.ค่อนข้างตอบเร็วนะ สมมติถามวันจันทร์ วันจันทร์กลางคืนเค้าก็ตอบแล้วเพราะเค้าห่างกับเรา11ชม. จากนั้นก็รวบรวมเอกสารส่งแบบด่วนไปเลยเพราะสมัครตอนที่เค้าจะปิดรับแล้ว ประมาณ 3 อาทิตย์แห่งความทรมานก็ได้รับi20 เพื่อเอาไปยื่นขอวีซ่ากับสถานทูต

วันสอบสัมภาษณ์ นัดรอบ7.15 ออกจากบ้านตีห้าครึ่ง ไปถึงหกโมงหน่อย มีคนมายืนรอก่อนแล้วประมาณสิบกว่าคน ยืนได้แป๊ปเดียวคนก็มารอกันเรื่อยๆซักพักยามด้านหน้าก็มาเรียกให้รอบเจ็ดโมงแยกแถวออกมาเพื่อไปก่อน(ตอนสมัครแอบคิดว่า7.15รอบแรกซะอีก ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่า7.00เค้าเต็มกันไปแล้ว 55555) พี่ยามหน้าสถานทูตก็จะอธิบายเรื่องการฝากของ ฟังอยู่ประมาน10รอบได้ คือพอคนใหม่มาก็อธิบายใหม่ไปเรื่อยๆ จนรอบแรกได้เข้าไป ก็ถึงตาเราแล้ว มีคนก่อนหน้าเราสองคน แอบมองคนหน้าเราเป็นเด็กแพทย์ มาขอวีซ่าB1ไปmedical conference ข้างหลังเราก็เหมือนกันขอไปconferenceที่stanford ซักพักก็เดินเรียงกันเข้าไปตรวจร่างกาย ฝากของเรียบร้อย ก็เดินเข้าไปด้านใน ด่านแรกเป็นด่านจัดเอกสาร เค้าจะขอเอกสารเราไปเรียงให้(แต่จริงเราต้องรู้ก่อนแล้วว่าต้องเอาอะไรไปบ้าง) ก็ยื่นpassport, ds-160, i20, ใบsevis แล้วเค้าก็ถามหาทรานสคริป ก็หยิบแล้วยื่นไป ระหว่างนั้นก็ถามว่า
จนท: ตอนนี้ทำอะไร
เรา: เป็นทันตแพทย์ค่ะ
จนท: มีจดหมายรับรองงานมั้ย
เรา: ไม่มีค่ะ
จนท: เป็นเจ้าของคลินิกหรอ
เรา: เปล่าค่ะ ทำคลินิกเอกชน อยู่LDC clinicค่ะ
แล้วเค้าก็ยื่นซองเอกสารที่เค้าจัดแล้วพร้อมเลขไปรษณีย์มาให้เรา
เรา: ขอบคุณค่ะ

แล้วก็เดินไปรอคิว ระหว่างรอก็จดเลขไปรษณีย์ใส่กระดาษเอาไว้ติดตามกรณีสัมภาษณ์ผ่าน ช่วงนั้นปวดหัวมากเพราะนอนน้อยบวกกับความเครียด กลัวว่าจะไม่ผ่าน ทั้งๆที่เพื่อนก็บอกไว้ว่า "เจ แกเป็นทันตแพทย์นะเว้ย ไม่มีทางไม่ผ่าน อะไรๆก็ง่าย" แต่ก็แอบกลัวอยู่ดี ประเด็นที่เครียดอีกเรื่องคือ เขียนใส่ไปในds-160ว่าขอ2ปี จริงๆแอบอยากได้เต็มโควต้า5ปี แต่กลัวดูพิรุธว่าจะเอาไปทำอะไรตั้งห้าปี เลยขอแค่2ปีไปก่อน แต่ก็ดันกลัวอีกว่าเดี่ยวเกิดให้2ปีขึ้นมาจริงๆจะยุ่งมาก ต้องไปกลับประเทศเพื่อขอใหม่อีก แต่ตอนนั้นภาวนาว่าเอาเหอะขอผ่านเป็นพอ แล้วก็มาถึงด่านที่สอง
จนท: เคยโดนปฏิเสธวีซ่ามาก่อนมั้ย
เรา: ไม่เคยค่ะ
จนท: เคยได้วีซ่าอเมริกามั้ย
เรา: เคยค่ะ เป็นj1 visaไปwork and travel
จนท: แล้วครั้งนี้จะไปทำอะไร
เรา: ไปเรียนภาษาค่ะ แล้วก็มีแพลนไปเรียนต่อทันตะค่ะ
จนท: ขอรูปหน่อย
เรา: นี่ค่ะ
จนท: มีแต่รูปนี่หรอ หน้ามันวาวเกิน ถ่ายเองใช่มั้ย
เรา: ใช่ค่ะ
จนท: ไปถ่ายใหม่ข้างใน แล้วเอามายื่นนะ
เรา: ค่ะ

จากนั้นก็เดินเข้าไปอีกห้อง ตอนเดินเข้าไปมองซ้ายขวาหาที่ถ่ายรูปอยู่ซักแป๊บนึง คือมันดันไปอยู่ในหลืบอ่ะ แล้วก็เข้าไปถ่ายรูปในตู้แบบถ่ายเอง ถ่ายอยู่สามสี่ครั้งจนพอใจค่อยกดปริ้นต์ แล้วออกมาเอารูปที่ช่องด้านนอก พอเอามาดู ตายหล่ะผมปิดหูไปนิดนึง ทำไงดี เงินไม่พอถ่ายอีกครั้งแล้ว แต่ก็ลองเอาไปยื่นดูก่อน พอเจ้าหน้าที่เห็นก็ok พร้อมยื่นแฟ้มเอกสารกลับมาต่อพร้อมหมายเลขคิวสัมภาษณ์กับทูตจริงๆซึ่งเป็นฝรั่ง แล้วก็เดินเข้าไปในห้องเดิมที่ไปถ่ายรูปแล้วเดินไปนั่งรอแถวท้ายสุด(แอบโง่มากนั่งแถวท้ายสุดเวลาเรียกก็เดินไปถึงช้าสุด เพราะเค้าจะเรียกทีละ10คิว โดยไม่เรียงลำดับ เช่น 01-10 เชิญช่อง12 เค้าก็เดินไปรุมๆกัน คือไม่มีว่า04ต้องมาก่อน05 ใครเดินไปต่อก่อนก็ได้ก่อนอ่ะ) ระหว่างรอก็ใจเต้นเพิ่มไปอีก เครียดขึ้นๆเรื่อยๆ พอเรียกหมายเลข11-20 เราก็เดินไปยืนรอคิวเรื่อยๆจนถึงคิวตัวเอง อยากกรี๊ดได้คนเดียวกับที่สัมภาษณ์สมัยไปเวิร์ค เดินไปถึงเค้าก็สวัสดีเรา ก็เลยยกมือไหว้ด้วยแล้วบอกสวัสดีค่ะ ด้วยความงง แล้วก็เริ่มการสัมภาษณ์
ทูต: Can you speak english?
เรา: Yes, a little bit.
ทูต: มองทรานสคริปต์ Are you studying?
เรา: No, I was graduated for 1 year. Now, I am a dentist.
ทูต: ah yes. Who is your supporter?
เรา: My dad
ทูต: what is he doing?
เรา: He is an optician and he owns his shop. ทำมือประกอบด้วย ไม่รู้จะทำทำไม แอบงงตัวเอง
ทูต: ok and how long you will stay in the US? How many weeks?
เรา: คิ้วขมวด 2 years. พร้อมชูสองนิ้ว
ทูต: oh, I see your paper. พร้อมหยิบi20ขึ้นมา ok, you will receive your passport in a week.
เรา: ยิ้ม thank you. หันหลังกลับอย่างผู้ชนะ

ความจริงตอนนั้นปวดฉี่มาก แต่อยากรีบเดินไปบอกม๊าว่าผ่านแล้ว เลยกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมา รีบเอาบัตรไปแลกโทรศัพท์คืน แล้ววิ่งไปหาม๊าพร้อมรอยยิ้มอย่างชัยชนะ 55555 ตรูผ่านแล้ว